‘เวย์น รูนี่ย์’ ยอดกองหน้าจอมเดือดเจ้าของฉายา ‘สุกรโลกันต์’
‘เวย์น รูนี่ย์’ ยอดกองหน้าจอมเดือดเจ้าของฉายา ‘สุกรโลกันต์’
เวย์น รูนี่ย์
ยอดกองหน้าจอมเดือดเจ้าของฉายา สุกรโลกันต์
Wayne Mark Rooney ชื่อเต็มของ
เวย์น รูนี่ย์ เป็นลูกชายคนโตของ โทมัส และ เจนเนสส์ รูนี่ย์ เกิดเมื่อวันที่ 24
ตุลาคม 1985 พ่อและแม่ของเขาเป็นชาวไอริชที่อพยพเข้ามาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ
ย่านคร็อธเทธ
เมืองลิเวอร์พูล ในครอบครัวที่เป็นคาทอลิก เวย์น รูนี่ย์ จึงเข้าร่วมโรงเรียนประถม
Our Lady และ St.
Smiithin หลังสำเร็จการศึกษาระดับประถม
เวย์น รูนี่ย์ ได้เข้าศึกษาต่อที่ De La Salle Humanities
College โดยสถานศึกษาแห่งนี้ยังเป็นที่เจียระไนฝีเท้าให้เขาได้ก้าวเข้าสู่วงการลูกหนังอีกด้วย
ซึ่งในเวลาต่อมาน้องชายของเขา เกรแฮม และ จอห์น ก็ได้เดินตามรอยพี่ชายมาติดๆ
ในขณะที่
รูนี่ย์ ศึกษาและเล่นฟุตบอลให้กับ De La Salle Humanities College ก็ได้มีแมวมองจากสโมสรยักษ์ใหญ่หลายทีมให้ความสนใจในตัวของเขา
แต่ในความรักที่มีแต่ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน จึงทำให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้นที่จะเข้าร่วมทีมเยาวชนและเป็นนักเตะฝึกหัดกับทีมเอฟเวอร์ตันในปี
1996 ด้วยความเก่งกาจและพรสวรรค์ที่มีพร้อมเขาใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถที่จะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรได้
และได้แจ้งเกิดกับทีมด้วยการพังประตูในเกมที่เอฟเวอร์ตันเอาชนะอาร์เซน่อลในเกมพรีเมียร์ลีก
เมื่อวันที่ 19
ตุลาคม 2002 โดยเขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทน โทมัส รัดซินสกี
ในนาทีที่ 80 และในเกมนัดนั้นเขายังสามารถหยุดสถิติไร้พ่ายของอาร์เซน่อลไว้ได้ที่
30 นัดต่อติดกันในลีก
ด้วยท่าดีใจประกอบกับเสื้อซับในที่สกรีนประโยคเด็ดที่ว่า “Once a blue,
Always a blue” ทำให้สร้างเสียงฮือฮาและส่งผลให้เขากลายเป็นที่รักของบรรดาแฟนบอลท็อฟฟี่สีน้ำเงิน
พร้อมทั้งกลายเป็นนักเตะมหัศจรรย์ของวงการลูกหนังเมืองผู้ดีได้ในทันที
รูนี่ย์
มีความที่โดดเด่นในการเล่นฟุตบอลหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการยิงประตู,
ความเร็ว, ความแข็งแกร่งของร่างกาย, และการสร้างสรรค์เกมรุกได้อย่างยอดเยี่ยม
ทำให้เป็นที่หมายปองของสโมสรน้อยใหญ่ในเกาะอังกฤษมากมาย จนกระทั่งในปี 2004
เวย์น รูนี่ย์ ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมกับแมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 27 ล้านปอนด์
พร้อมทั้งสวมเสื้อหมายเลข 8 เขามีค่าจ้างต่อสัปดาห์สูงถึง
100, 000 ปอนด์เลยทีเดียว
ทำให้ในเวลานั้นเขาเป็นนักเตะดาวรุ่งที่มีค่าตัวแพงที่สุดของโลกเลยทีเดียว
ซึ่งในงานแถลงข่าวเปิดตัว
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า
“ผมมีความรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ผมคิดว่าตอนนี้เรากำลังที่ได้เตะหนุ่มที่มีความยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศนี้ในรอบ 30
ปี เลยทีเดียว
เราทุกฝ่ายพอใจกับการเซ็นสัญญาในครั้งนี้” และในเกมเปิดตัวในเกมที่แมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ด พบกับ เฟเนร์บาห์เช ในเกมแชมป์เปียนส์ ลีก
เขาสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับแฟนผีแดงได้วยด้วยการไล่พังประตู
เฟเนร์บาห์เช ไปได้ถึง 3 ประตู
ช่วยให้ต้นสังกัดใหม่เอาชนะ เฟเนร์บาห์เช ไปถึง 6–2 ทำให้บรรดาแฟนบอลและเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
ผู้จัดการทีม ต้องออกมายอมรับในฝีเท้าและซูฮกกับฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงของดาวเตะมหัศจรรย์คนนี้กันเลยทีเดียว
ด้วยความเก่งกาจและพรสวรรค์มากมายของตัวเขาจึงทำให้เขาเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ
ของสโมสรและในทีมชาติเลยก็ว่าได้
อันที่จริงแล้ว
รูนี่ย์ มีแนวโน้มว่าจะได้อยู่ที่ เอฟเวอร์ตัน ต่อ หากไม่มีการต่อรองจากทางด้าน
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ปีศาจแดงก็อาจจะไม่มีวันได้ตัวดาวเตะผู้นี้แล้วก็ได้
ในขณะที่สื่อหลายสำนักกำลังประโคมข่าวเกี่ยวกับการซื้อตัวนักเตะ
จึงทำให้สร้างแรงกดดันให้กับทางเอฟเวอร์ตัน เป็นอย่างมาก
แต่ถึงยังไงแม้ว่าพวกเขาพยายามที่รั้งตัวนักเตะไว้ด้วยการเสนอสัญญา 5 ปี และค่าเหนื่อยที่สูงสุดในสถิติสโมสร คือ 50,000
ปอนด์ ต่อสัปดาห์
แต่นั่นก็ยังไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้กับตัวดาวเตะผู้มากพรสรรค์รายนี้ได้
เวย์น รูนี่ย์
ได้ทำการเปลี่ยนแปลงบทบาทใหม่ในทัพปีศาจแดง ด้วยการเปลี่ยนมาสวมหมายเลข 10 แทนที่ของการจากไปของ รุด ฟาน นิสเตลรอย
ที่ย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ในปี 2006 โดยที่เขานั้นทราบดีถึงความกดดันที่จะตามมาพร้อมกับบทบาทดาวยิงคนใหม่ของทีม
ซึ่งก่อนหน้านี้เบอร์ 10 ของทีมนั้นได้เคยตกเป็นของนักเตะระดับตำนานของสโมสรหลายคน
เช่น เดวิด เบ็คแฮม, เท็ดดี้
เชอริงแฮม, เดนิส ลอว์,
มาร์ค ฮิวจ์, และ รุด ฟาน นิสเตลรอย
โดยหลังจากที่เขาได้รับเสื้อหมายเลข
10 สวมใส่ ก็ได้ออกมากล่าวผ่านสื่อต่างๆ
ว่า
เขารู้ดีว่าหมายเลขนี้เป็นหมายเลขที่นักเตะระดับตำนานของทีมและคีย์แมนคนสำคัญเท่านั้นที่จะได้รับมันมาสวมใส่
เขารู้ซึ้งถึงความสำคัญของหมายเลขนี้เป็นอย่างดี
และพร้อมที่จะสร้างตำนานบทใหม่ไปพร้อมกับหมายเลข 10 ที่ได้รับมอบหมายมาทันทีเมื่อเปิดฤดูกาลแข่งขันใหม่
ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้แฟนบอลปีศาจแดงผิดหวัง
โดยเขาและเพื่อนร่วมทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาให้แฟนบอลได้ชื่นชมและสร้างเกียรติให้กับสโมสรได้อีกด้วย
หลังจบฟุตบอลโลก
2006 รูนี่ย์
ซึ่งยังมีความผิดหวังจากการตกรอบฟุตบอลโลก
เขาได้กลับมาฝึกซ้อมกับต้นสังกัดอย่างหนักและหวังว่าในซีซั่น 2006–2007 เขาจะสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครอบครองได้ให้
และด้วยความร้อนแรงของเจ้าตัวและคู่หูในเกมรุก อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด
ที่ได้ช่วยกันพังประตูคู่แข่งแล้วจบซีซั่นนั้นด้วย 89 คะแนน ส่งผลให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นที่ 1
ของตารางและสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครอบครองได้สำเร็จ
โดยจบฤดูกาลนี้ รูนี่ย์ สามารถทำประตูในลีกไปได้ถึง 14 ประตู
เมื่อเปิดตลาดซื้อ–ขาย
ด้วยความที่อยากจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับทัพผีแดง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
ได้ทำการยืมตัว คาลอส เตเบส มาร่วมทีม
เพื่อเสริมแนวรุกให้มีความดุดันมากพอและพร้อมที่จะสู้ศึก แชมป์เปี้ยนส์ ลีก
ในซีซั่น 2007-2008 กล่าวคือ
พวกเขามีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะก้าวเป็นเจ้าแห่งทวีปยุโรปให้ได้
ซึ่งพวกเขาสามารถจบฤดูกาล 2007–2008 ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
และยังสามารถเข้าไปชิงแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก กับ เชลซี
ทีมร่วมลีกที่อยู่กำลังร้อนแรงอยู่ในเวลานั้น
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะมาขวางพวกเขาได้
โดยที่จบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถเอาชนะ เชลซี ไปได้ด้วยการดวลจุดโทษ 6–5
หลังครบ 90 นาที เสมอกันอยู่ที่ 1–1 จึงทำให้ เวย์น รูนี่ย์
และพลพรรคปีศาจแดงผงาดคว้าแชมป์เป็นเจ้ายุโรปได้สำเร็จ
ซึ่งหลังจากนั้นในฤดูกาล
2009–2010 เวย์น รูนี่ย์
ได้ถูกจับตามองเป็นพิเศษเมื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด ดาวยิงซุปเปอร์สตาร์ประจำทีมได้ย้ายออกจากทีม
ไปเล่นให้กับ เรอัล มาดริด เพื่อหาความท้าทายใหม่ๆ ให้กับตัวเอง
แฟนบอลต่างพากันตั้งความหวังกับตัวเขาในฐานะดาวยิงคนใหม่ของทีม
โดยที่เขาก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง ด้วยการถล่มประตูไปทั้งหมด 26 ประตู ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ดีสุดในชีวิตการค้างแข้งของเขาเลยที่เดียว
ทำให้แฟนผีแดงลืมดาวดังคนเก่าอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด ไปได้อย่างสนิทใจ
ด้วยความเปลี่ยนแปลงหมายๆ
อย่างของสโมสร และการย้ายออกจากทีมของกัปตันทีมคนเก่าอย่าง เนมันย่า วิดิช
ที่ย้ายไปร่วมทีม อินเตอร์ มิลาน และการเข้ามาของกุนซือจอมปรัชญาอย่าง หลุย ฟาน
กัล ส่งผลให้ เวย์น รูนี่ย์ ได้ขึ้นแท่นกลายเป็นกัปตันทีมคนใหม่ทันที
เขาได้ประเดิมสนามในฐานะกัปตันทีมคนใหม่ด้วยกันซัดลูกยิงจักรยานอากาศส่งลูกบอลเข้าไปตุงตาข่ายในเกมกับ
สวอนซี ทันที แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะพาทีมรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ไปได้
ในวันที่ 27
กันยายน 2014 เขาสามารถทำลายสถิติขึ้นมาเป็นดาวยิ่งสูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับ
2 แทนที่ของ
เธียร์รี่ อองรี ด้วยจำนวนประตู 208 ลูก
ได้สำเร็จและได้พาทีมขึ้นไปรั้งอันดับ 3 หลังพาทีมชนะ
เวสต์แฮม ไปได้ 2–1 แต่ก็ต้องสังเวยชัยชนะครั้งนี้ด้วยใบแดงไล่ออกจากสนามไป
ในวันที่ 2
กุมภาพันธ์ 2016 เขาสามารถทำประตูที่ 238 และแซงหน้า เดนนิส ลอว์
ในการทำประตูสูงสุดของสโมสร ตามหลังแค่เพียง เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน
แค่คนเดียวเท่านั้น และในปีเดียวกัน รูนี่ย์ ได้พาต้นสังกัดทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศในการแข่งขัน
ฟุตบอล เอฟเอคัพ และสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ ด้วยการเอาชนะ คริสตัน พาเลช 2–1
ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ในปี 2016
หลัง หลุด ฟาน กัลป์
ถูกยุติตำแหน่งในฐานะนายใหญ่ทัพผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ก็ได้แต่งตั้งนายใหญ่คนใหม่เขามาแทนที่ทันที โดยผู้สืบทอดทำนานบทนี้ ก็คือ โจเซ่
มูรินโญ่
เขาเข้ามาพร้อมกับความหวังมากมายที่จะพาทีมกลับไปสู่เส้นทางการลุ้นแชมป์ทั้งหลาย
แต่เหมือนว่าการกลับเข้าสู่เส้นทางนั้นช่างดูยากลำบากมาก
เขาได้ทำการเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของนักเตะในทีม
และได้ดึงนักเตะเยาวชนขึ้นมาทดลองใช้มากมาย อีกทั้งยังดึงมหาเทพอย่าง ซลาตัน
อิบราฮิมโมวิช เข้ามาร่วมทีมแบบฟรีๆ อีกด้วย การเข้ามาของ ซลาตัน นั้น ทำให้
รูนี่ย์ ได้ถูกลดบทบาทในทีมไปอย่างมาก
เขาถูกดึง
ลงมาเล่นเป็น กองกลางตัวรุก และอีกหลายๆ ตำแหน่ง
ทำให้โอกาสได้การทำประตูนั้นยิ่งน้อยลง แต่ก็ยังสามารถทำประตูได้อยู่เสมอ
ในศึก เอฟเอ คัพ รอบ 3 แมนฯยูไนเต็ด เปิดบ้านพบกับ เรดดิ้ง เวย์น
รูนี่ย์ สามารถทำประตูให้กับตัวเองเพิ่มอีก 1 ประตู
ส่งผลให้เขาสามารถสร้างเกียรติประวัติให้กับตัวเองได้ด้วยการเป็นดาวยิงสูงสุดของสโมสร
โดยทำได้ทั้งหมด 249 ประตู
เทียบเท่ากับ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ในทันที
หลังการเข้ามาคุมทีมของ
“เดอะ สเปเชี่ยล วัน” โจเซ่ มูรินโญ่ เวย์น รูนี่ย์ ก็ถูกลดบทบาทลงไปอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นโอกาสการลงสนามหรือถูกจับมานั่งเป็นตัวสำรองตลอด
ส่งผลให้เจ้าตัวไม่ค่อยจะมีความสุขกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้สักเท่าไหร่
จึงตัดสินใจขึ้นบัญชีขอย้ายออกจากทีมทันที
ซึ่งแน่นอนเป้าหมายเดียวที่เขาต้องการที่จะย้ายไปนั่นคือ เอฟเวอร์ตัน
ซึ่งเป็นที่ที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมา เปรียบเสมือนว่าเป็นบ้านหลังที่สองของเขา
โดยไม่นานหลังมีข่าวว่าเขาได้ทำการขอขึ้นบัญชีย้ายออกจากทีมนั้น
เขาก็ได้บรรลุข้อตกลงกับไปร่วมทีมเอฟเวอร์ตัน
โดยที่เขายอมลดค่าเหนื่อยของตัวเองลงมาถึง
50 เปอร์เซ็นต์
จากที่เคยรับอยู่ 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
โดยเขาเข้าไปสวมเสื้อหมายเลข 10 แทนที่ของ
โลเมลู ลูกากู ที่ได้ย้ายสลับขั้วไปอยู่กับต้นสังกัดเก่าของเขาอย่าง แมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ด
แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นและการเล่นที่ช้าลงของตัวเขา
ทำให้เขาไม่อยู่ในแผนการทำทีมของ โรนัลด์ คูมัน
ทำให้เขาต้องจึงตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้ง
ด้วยการย้ายข้ามทวีปไปค้าแข้งอยู่ในศึกเมเจอร์ลีก ของประเทศ สหรัฐอเมริกา กับทีม
ดีซี ยูไนเต็ด ด้วยสัญญา 3 ปีครึ่ง
และเมื่อวันที่
23 สิงหาคม 2018
ได้ออกมาแถลงกับสื่อหลายสำนักว่าเขาต้องการที่จะยุติบทบาทการเล่นฟุตบอลในนามทีมชาติอย่างเป็นทางการ
โดยดาวยิงวัย 32 ปีผู้นี้ได้ลงสนามรับใช้ทีมอังกฤษนัดในแรกเมื่อเขาอายุเพียง
17 ปี 111 วัน และลงเล่นไปทั้งหมด 119 นัด สามารถทำประตูได้ทั้งหมด 53 ประตู
พร้อมทั้งยังเป็นดาวซัลโวตลอดกาลของประเทศอังกฤษ
อย่างไรก็ตามเมื่ออายุมากขึ้น
ฟอร์มการเล่นก็ลดถอยลง
ทำให้มีเด็กรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพที่จะพร้อมรับใช้ชาติและทำผลงานได้ดีกว่าเขา
แต่นี่สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาคือผู้เล่นระดับตำนานของจริง
ไม่ว่าจะในระดับทีมชาติหรือสโมสร
เขาก็ได้สร้างชื่อและได้จารึกเกียรติประวัติของตัวเองไว้มากมาย ว่าคือกองหน้าเบอร์
1 ของประเทศอังกฤษ
อ่านข่าวเพิ่มเติม : ข่าวบอลพรีเมียร์ลีก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น